หน้าเว็บ

29 มิถุนายน 2554

**สำนึกแล้วพระคุณแม่**

                    
           ขอนอบน้อม หมอบกราบแท้ พระแม่แก้ว  
                 
               สำนึกแล้ว     ความเลวเคยเหลวไหล 
            
                  ลูกซึ้งแล้ว          แนววิถีที่เป็นไป
       
                     แม่ช้ำใจ          ลูกมาจนชาชิน
   
             ลูกสร้างกรรม    ทำบาป   กราบเท้าแม่
                     
                   ซึ้งใจแท้       แม่อภัยให้หมดสิ้น
                    
                      น้ำตาแม่    แต่ละหยดที่รดริน
                   
                       ลูกถวิล  ดังน้ำกรดรดหัวใจ


         แม่จะเขียนความรู้สึกของแม่ลงไปบนปลอกหมอนสีขาวผืนนี้  เพื่อให้ลูกได้รับทราบ  เป็นครั้งสุดท้ายว่าลูกนั้น คือ  "ดวงใจของแม่"  เพื่อเป็นสื่อความหมายในจิตใจของแม่ให้ลูกรู้ว่าแม่นั้น "รักเจ้า"  เพียงใดถึงลูกจะทำผิดพลาดพลั้งไป อย่างไรแม่ก็ให้อภัยลูกเสมอ






** มุมมองบนรถที่กำลังเดินทางไปจังหวัดชัยภูมิ **


          
       ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังนั่งรถเพื่อที่จะเดินทางไปจังหวัดชัยภูมิไปที่วัดบ้านไทรงาม ตำบลโปร่งนก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ เพื่อไปพบกับพระครูสุวิมล บุญญาคม ซึ่งเป็นเจ้าคณะตำบลโปร่งนก เขต2 ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้ารู้จักกับพระอาจาร์ยเป็นการส่วนตัวและไปมาหาสู่กันกับท่านบ่อยๆ ข้าพเจ้าจะพักอยู่ที่ชัยภูมิ ประมาณ 4-5 วัน หลังจากนั้นข้าพเจ้าจะเดินทางไปที่เกาะล้าน จังหวัดชลบุรี แล้วก็ไปที่กรุงเทพมหานคร หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็จะเดินทางกลับหนองบัวลำภู
         ตั้งแต่ข้าพเจ้าออกเดินทางจากที่พักของข้าพเจ้าที่เขาภูพานคำ มานั้นฝนกำลังตกอยู่  และตลอดเวลาที่ข้าพเจ้านั่งรถมานั้นฝนก็ยังไม่หยุดตกเสียที อากาศเย็นกำลังสบาย ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงตอนที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กๆ ตอนที่ยังเป็นเด็กนั้น ข้าพเจ้าชอบเวลาที่ฝนตกมาก เพราะว่าข้าพเจ้าจะได้ออกไปเล่นน้ำฝนกับเพื่อนๆ น้ำฝนที่ตกโปรยปรายลงมานั้นให้ความรู้สึกเย็นชุ่มช่ำ และให้ความรู้สึกเย็นสบายกายเวลาโดนน้ำฝน  ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าจะเติบใหญ่แล้ว แต่ข้าพเจ้าก็มีความสุขเมื่อข้าพเจ้านึกถึงตอนที่ยังเป็นเด็กๆ

       


    









             


         
       

        
        ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งรถอยู่นี้ ข้าพเจ้ามองออกไปสองข้างถนนที่เต็มไปด้วยทุ่งนา ข้าพเจ้าเห็นทั้งเด็กและทั้งผู้ใหญ่กำลังก้มหน้าทำนาอยู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย ข้าพเจ้าได้เห็นถึงความลำบากของชาวไร่ชาวนาแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังเห็นถึงความลำบากของคนที่เป็นเกษตร หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า กระดูกสันหลังของชาติ ถ้าไม่มีพวกเขาคอยปลูกผักปลูกข้าวให้พวกเราได้ทานกันอย่างสุขสบาย แต่ทำไมพวกเขาถึงได้ลำบากอย่างยากเย็นแสนเข็นกับราคาพืชผักผลไม้ที่มีราคาแค่น้อยนิด บางคนไม่เคยรู้จักคำว่า กำไร จากการขายพืชผักผลไม้เลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาคิดเพียงแต่ว่าขอให้ฉันไม่เป็นหนี้ค่ายาฆ่าหญ้าค่าปุ๋ยก็พอแล้ว และนาข้าวของฉันไม่โดนเพี้ยกินไม่โดนน้ำท่วมตายก็เป็นบุญนักหนาแล้วสำหรับพวกเขา  พวกเขาคิดแค่นั้นจริงๆ ถามว่าจะมีไหมหนอที่คนเราจะคิดได้แบบพวกเขาเหล่านี้ ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะมี แต่คงจะหาได้ยากสักหน่อยในสังคมไทยทุกวันนี้ ถ้าย้อนกลับมามองดูแล้วพวกชาวนาชาวสวนหรือชีวิตของพวกเกษตรเป็นชีวิตที่ถามว่าลำบากไหม ข้าพเจ้าตอบแทนได้เลยว่าเป็นชีวิตที่ลำบากมาก ต้องยืนตากแดดตากฝนอยู่กลางทุ่งนา ข้าพเจ้าเห็นแล้วข้าพเจ้าก็เคยมีชีวิตความลำบากเช่นนี้มาก่อน  สมัยก่อนข้าพเจ้าก็เคยออกเดินธุดงส์ไปตามท้องไร่ท้องนา ข้าพเจ้าเดินตากฝนเพื่อไปยังที่ต่างๆ ก็เหมือนในปัจุบันวันนี้ที่ข้าพเจ้าก็ยังเดินตากฝนอยู่  ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าทุกคนมีความสุขกับความทุกข์แตกต่างกันไป ข้าพเจ้ามองเห็นว่า ทุกคนมีความสุขเหมือนกันคือทุกคนทำสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะว่าการกระทำความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้ากระทำแล้วมีความสุขแสดงว่าเป็นการกระทำสุข เหมือนกับชาวนาถ้าไม่มีฝนก็ไม่ได้ทำนา มันเป็นสิ่งที่เอื้อกันระหว่างคนกับธรรมชาติ และระหว่างคำว่าสมดุล สำหรับ ทุกอย่างทั้ง ความสุข ความทุกข์ ความชอบ ความสมหวัง ความเศร้า ความดีใจ  ความโกรธ ล้วนอยู่กับแต่ตัวเอง ใช่ว่าคนอื่นจะเอาเรื่องร้อนมาให้เสมอไป






            ถ้าเราคิดแบบธรรมดา ชีวิตก็มีไว้ให้ใช้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้าคิดชีวิตให้ มี ชีวิตที่เกิดมาในชาตินี้ก็มีค่ายิ่งนัก สำหรับตัวข้าพเจ้าแล้วที่ข้าพเจ้ากล้าพูดว่า ชีวิตข้าพเจ้าทำไมถึงมีค่ายิ่งนัก เพราะว่าข้าพเจ้าไม่เคยรังเกียจผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ก่อเวรไม่ก่อกรรมให้ใครต้องมั่วหมอง และไม่ทำบาปทำกรรม ข้าพเจ้าพอใจที่ข้าพเจ้าเกิดมาพบพานกับธรรมะและศีลธรรม ข้าพเจ้าพอใจชีวิตที่เกิดมาในชาตินี้ยิ่งนัก และข้าพเจ้าก็อยากให้ทุกคนพอใจในชีวิตที่เราเป็นอยู่เช่นนี้เหมือนกับข้าพเจ้า คือมีความสุขในสิ่งที่ควรจะเป็นตามอัตภาพหรือตามสภาวะกาล


          




          ข้าพเจ้าขออวยพรให้กับทุกๆท่านที่ได้เข้ามาอ่านบันทึกฉบับนี้ ให้ท่านมี   อุ นา นะ ติ ตัง โย ขอให้มีแต่ความสุขความเจริญทางด้านปัญญา ด้านปัจจัย ด้านเงินทอง  ทุกๆคนทุกๆท่านเทอญ ข้าพเจ้ามีนามว่า " นิลกาล "







28 มิถุนายน 2554

**มุมมองการเดินทางที่ใกล้ความตายหรือเฉียดตายมากที่สุดของข้าพเจ้า**



            
    

                         ข้าพเจ้าถือว่าตัวเองเป็นคนโชคดีหรือโชคไม่ดีอย่างไรก็ไม่รู้ ชีวิตของข้าพเจ้าได้รอดตายมาหลายครั้งเพราะการเดินทาง แต่ข้าพเจ้าก็ยังคิดอยู่เสมอว่าข้าพเจ้ายังไม่หมดอายุขัยในตอนนี้ ข้าพเจ้าจึงได้เรียนรู้จักคำว่า เฉียดตาย  หรือ  เกือบตาย  ชีวิตของข้าพเจ้าเกิดปาฏิหาริย์บ่อยมาก ข้าพเจ้ารู้ว่าตอนที่ข้าพเจ้าเกือบเดินเจอความตายนั้นข้าพเจ้ามิได้สะพรึ่งกลัวเลย ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่า เมื่อถึงเวลาข้าพเจ้าก็ต้องตาย ถามว่าข้าพเจ้ากลัวหรือไม่เมื่อความตายมาเยือน ข้าพเจ้าไม่กลัว ถ้าเรามีสติ และมีความระมัดระวังอยู่เสมอเราก็จะไม่เกิดอุบัติเหุต อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพียงช่วงวินาทีเดียวก็สามารถทำให้เราพบเจอกับความตายได้เช่นกัน ดังเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์ ว่าทุกคนอย่าประมาณเลิ่นเลอกับชีวิต ข้าพเจ้ารอดชีวิตมาได้ไม่ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ แต่ข้าพเจ้าพึ่งระลึกอยู่เสมอว่ายังไม่ถึงคราวตายของข้าพเจ้า  ชีวิตที่เรียกว่าเข้าใกล้ความตายในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.00 นาฬิกา เศษของคืนวันที่ 14 มิถุนายน 2554  บนถนนสายอุดร-หนองคาย เขตบ้านนาข่า  จังหวัดอุดรธานี  ข้าพเจ้าประสบอุบัติเหตุโดยรถยนต์ที่ข้าพเจ้านั่งมาเกิดเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบ เนื่องจากรถยนต์ได้หักหลบรถสามล้อเครื่องที่บรรทุกนักเรียนชั้นประถมมาด้วยประมาณ 3 - 4 คน เพื่อจะกลับรถและรถสามล้อเครื่องคันนั้นได้ขับรถตัดหน้ารถ คันที่ข้าพเจ้านั่งมาอย่างกระชั้นชิด ทำให้รถคันที่ข้าพเจ้านั่งมาด้วยได้หักหลบรถสามล้อเครื่องและเกิดเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบและตกลงไปหยุดนิ่งอยู่บนเกาะกลางถนน  รถคันที่ข้าพเจ้านั่งยังได้ไปชนปะทะกับต้นไม้ทำให้ต้นไม้หักขาดไปหนึ่งต้น ถ้ารถคันที่ข้าพเจ้านั่งมาไม่ได้หักหลบรถสามล้อเครื่องคันดังกล่าว ข้าพเจ้าคิดว่าจะต้องมีคนตายและคนได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่านั้นอีก หลังจากที่รถหยุดนิ่งแล้วข้าพเจ้าก็ยังมีสติอยู่ ข้าพเจ้าก็รีบคลานออกมาจากตัวรถ และข้าพเจ้าได้ยืนมองดูสถาพของรถอยู่ประมาณ 3 นาที ก็นั่งลงในตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกแน่นหน้าอกตัวเองมาก รถที่วิ่งผ่านสัญจรไปมาก็ได้ชลอรถเพื่อมองดูรถคันที่ข้าพเจ้านั่งมา บางคนมองดูแล้วก็ขับรถเลยไป บางคนก็มีน้ำใจช่วยโทรศัพท์แจ้งศูนย์อุบัติเหตุ เพื่อเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวข้าพเจ้า เพื่อที่จะนำตัวของข้าพเจ้าส่งโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เมื่อข้าพเจ้าไปถึงโรงพยาบาล หมอก็ได้นำตัวข้าพเจ้าไปยังห้องตรวจเอ็กเซอร์เรย์ คุณหมอและพยาบาลก็ได้เข้ามาสอบถามข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บและปวดตรงไหนของร่างกายมากที่สุด ข้าพเจ้าเลยบอกว่าข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บที่หน้าอกด้านซ้ายมากที่สุด เพราะว่า ข้าพเจ้า ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ตอนที่รถเกิดเสียหลักและพลิกคว่ำนั้น รถได้เหวี่ยงตัวข้าพเจ้าไปกระแทกกับพวงมาลัยของรถอย่างแรง  หมอก็ทึ่งกับตัวของข้าพเจ้ามากว่าทำไมตัวของข้าพเจ้าจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย ถ้ามองดูจากสภาพของรถแล้ว มีแต่คนคิดว่าต้องเสียชีวิตแน่ๆ หมอได้ให้ข้าพเจ้านอนพักรักษาตัวเพื่อดูอาการ 1 คืน หมอได้ให้น้ำเกลือหนึ่งขวดและได้ฉีดยาให้กับข้าพเจ้าหนึ่งเข็ม หลังจากนั้นหมอก็ได้ย้ายตัวข้าพเจ้าไปอยู่ในห้องพักผู้ป่วยรวม เพราะคืนนั้นห้องพักผู้ป่วยแบบพิเศษเต็ม  ข้าพเจ้าจึงได้อยู่ห้องรวมกับผู้ป่วยอื่นๆ และข้าพเจ้าได้เห็นเพื่อนผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บเหมือนกับตัวข้าพเจ้า บางคนก็เมาแล้วขับ บางคนก็ได้รับบาดเจ็บอย่างอื่นมา บางคนก็นอนร้องครวลครางด้วยความเจ็บปวด บางคนก็มีคราบน้ำตา บางคนก็กำลังเช็ดตัวให้กับลูกที่ไม่สบาย บางคนก็มีน้ำตาไหลอยู่เรื่อยๆเพราะเห็นความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของลูกตัวเอง



 



                         
    


                         ข้าพเจ้ามองดูแล้วได้กลับมาคิดถึงเรื่องของตัวข้าพเจ้าเอง
 ว่าข้าพเจ้ารอดชีวิตมาได้อย่างไร ข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่าข้าพเจ้าอยู่ยงคงกระพันหรือหนังเหนียว หรือมีของดี แต่ข้าพเจ้ายืนยันว่าข้าพเจ้ายังไม่ถึงที่ตาย ข้าพเจ้าเลยรอดตายโดยปาฏิหาร์ย  ตอนที่ข้าพเจ้าอยู่ที่โรงพยาบาลข้าพเจ้าได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง ข้าพเจ้าได้เห็นความรัก ความผูกพัน ความเอื้ออาทร จากหลากหลายผู้คนข้าพเจ้าเลยอยากจะบอกเล่าให้ฟัง  ข้าพเจ้าได้นอนเตียงใกล้ๆกับผู้ป่วยอีกคนหนึ่งที่อยู่ติดกับเตียงของข้าพเจ้า เป็นเด็กหนุ่มผู้ชายเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เหมือนกัน แต่อาการหนักมาก ที่ขามีเหล็กเสียบดามโพล่ออกมาเป็นรูปทรงกลม ข้าพเจ้าเห็นเขาใส่หน้ากากออกซิเจนเพื่อช่วยในการหายใจด้วย และยังมีสายน้ำเกลือและสายอื่นๆระโยงระยางไปตามตัวของเขา แต่เด็กผู้ชายคนนั้นก็ยังนอนไม่ได้สติอยู่เลย  ข้าพเจ้าเลยถามแม่ของเขาว่า"มาอยู่โรงพยาบาลนานหรือยัง" เขาตอบว่ามา"อยู่นานแล้ว" ทั้งพูดและทั้งร้องไห้ไปด้วย ตอนที่เขาพูดกับข้าพเจ้าเขาก็กำลังเอาผ้าเช็ดตัวให้กับลูกชายของเขาอย่างถนุถนอม แสดงออกถึงความรักความห่วงใยอย่างรักใคร่  ข้าพเจ้าจึงหันมามองคนที่มาเยี่ยมข้าพเจ้าซึ่งก็ไม่ใช่มารดาไม่ใช่บิดาและก็ไม่ใช่ญาติพี่น้องของข้าพเจ้าเลยสักคน แต่พวกเขาเหล่านั้นก็มาเยี่ยมข้าพเจ้าด้วยความเต็มใจกันทุกคน ข้าพเจ้ามองแม่ของเด็กคนนั้นที่ใบหน้านั้นยังมีรอยคราบน้ำตาอยู่ คอยเช็ดตัวให้ลูกชายไปและอีกมือหนึ่งก็คอยปาดน้ำตาของตัวเองไปด้วย และแม่เขาได้พูดกับข้าพเจ้าว่า " คุณนี่ยังโชคดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก  ฉันนี่ซิมีลูกชายคนเดียวถ้าฉันเจ็บแทนเขาได้ฉันคงจะเจ็บแทนลูกชายฉันแล้ว"  แล้วแก่ก็บ่นพร่ำๆไปว่า "ไม่รู้เป็นกรรมเป็นเวรอะไรทำไมถึงต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้กับครอบครัวของฉัน"  ข้าพเจ้าเห็นแล้วมีความรู้สึกสงสารมาก แต่ข้าพเจ้าก็ได้แต่สงสารเพราะว่าข้าพเจ้าก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเด็กคนนั้นได้เลย ข้าพเจ้าก็ได้แต่มองดู และข้าพเจ้าก็เห็นคุณป้าท่านนี้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยคอยแต่เช็ดตัวให้ลูกชายของแก่ทั้งคืน 








             
        ข้าพเจ้าเลยได้เห็นถึงความรักความห่วงใยของแก่ที่มีต่อลูกชายแล้วก็สุดจะบรรยายได้  ข้าพเจ้าเห็นความรักของแม่ที่มีต่อลูกและข้าพเจ้าก็เข้าใจคำว่า ความอบอุ่นจากแม่ ว่ามันยิ่งใหญ่เพียงใด ข้าพเจ้ามองดูหน้าตาของแม่ที่อดหลับอดนอนหน้าตาไม่อิ่มเอิบ ไม่เหมือนกับหน้าตาของคนที่อยู่เตียงอีกข้างหนึ่งของข้าพเจ้าที่หน้าตาอิ่มเอิบสดใส เพราะว่ากำลังจะได้กลับบ้านแล้ว ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นรอยยิ้มของคุณป้าท่านนี้เลยข้าพเจ้าเห็นแต่ความทุกข์และน้ำตาที่ไหลออกมาเรื่อยๆ คำว่า "แม่" จะมีไหมที่ลูกคนไหนจะทำให้แม่ได้เหมือนกับแม่คนนี้ ถ้าเรามองในมุมกลับกัน ถ้าแม่เกิดอุบัติเหตุแล้วจะมีลูกคนไหนมาปฏินิบัติให้แม่เหมือนอย่างนี้บ้าง ข้าพเจ้าอยู่ที่โรงพยาบาลเหมือนอยู่ในห้องสมุดชีวิต ที่ได้มองเห็นสิ่งๆต่างๆมากมาย บางคนก็สวดมนต์อยู่ในเตียงของตนเอง บางคนก็นอนแบบหมดหวังกับชีวิต คุณหมอก็ดีคอยพูดให้กำลังใจกับคนไข้ทุกคน ข้าพเจ้าได้มองเห็นความสุขว่า คนเราถ้ารู้จักปลง อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด ความสุขที่ปลงนี้คือ เมื่อมีเกิด ก็ต้องมีดับ ถ้าเรามองย้อนกลับไปว่า ความสุขของคนอยู่ที่ตรงไหน คือ ทุกคนต้องการความสุข ต้องการสุขภาพดีไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียนในชีวิต ก็ถือว่าเป็นความสุขที่สุดแล้ว



                        
         ข้าพเจ้าได้นอนหลับไปจนกระทั่งถึงตอนเช้าเวลาประมาณ 8 โมงเช้าของวันที่ 15 คุณหมอได้เข้ามาตรวจข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งและได้ดูภาพเอ็กเซอร์เรย์ของข้าพเจ้า แล้วบอกกับข้าพเจ้าว่าคุณไม่เป็นอะไรมากและอนุญาตให้ข้าพเจ้าออกจากโรงพยาบาลได้ในตอนเช้านี้เลย ตอนที่ข้าพเจ้าอยู่ที่โรงพยาบาลมีคนมาเยี่ยมข้าพเจ้าและได้ซื้อของเยี่ยมมาให้ข้าพเจ้ามากมาย ข้าพเจ้าเลยยกของเยี่ยมเหล่านั้นให้กับคุณป้าเตียงข้างๆ คุณป้าเลยบอกกับข้าพเจ้าว่า ซึ่งในตอนนั้นคุณป้าท่านนี้ยังไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ถือศีล  "ทำไมไม่เอากลับไปกินที่บ้านล่ะ" ข้าพเจ้าเลยบอกว่าข้าพเจ้ามีเยอะแล้ว เอาไว้ให้คุณป้ากินเถอะ คุณป้าเลยถามข้าพเจ้ากลับว่า "แล้วทำไมไม่เห็นพ่อกับแม่มาเยี่ยมคุณบ้างเลย" ข้าพเจ้าเลยนิ่งอึ้งอยู่ประมาณ 2-3 นาที เพราะคำพูดนี้ได้กินใจของข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าเลยหันไปบอกคุณป้าว่า  "พ่อกับแม่ของผมได้เสียไปนานแล้วผมอยู่ตัวคนเดียวผมมีน้องสาวอีกหนึ่งคน" คุณป้าเลยถามต่อว่า แล้วทำไมน้องสาวไม่มาเยี่ยมพี่ชาย ข้าพเจ้าเลยบอกว่าข้าพเจ้าไม่ได้โทรไปบอกน้องสาว เพราะข้าพเจ้าไม่อยากให้ใครต่อใครมาเป็นห่วงข้าพเจ้าหรือบอกให้เป็นทุกข์ไปเปล่าๆ คุณป้าเลยบอกกับข้าพเจ้าว่า "คุณพูดเหมือนคนที่ถือศีลเลย" ข้าพเจ้าก็เลยยิ้มๆ และข้าพเจ้าได้บอกคุณป้าว่า  "ลูกชายคุณป้ายังโชคดีกว่าผมอีก"  แก่เลยถามว่าโชคดียังงั้ยในเมื่อลูกชายของแก่ยังนอนเจ็บขนาดนี้ ข้าพเจ้าเลยบอกว่า อย่างน้อยๆลูกชายคุณป้าก็ยังได้เห็นหน้าคุณป้า และยังโชคดีที่มีคุณป้าคอยดูแล แม้จะยังเจ็บป่วยอยู่ ข้าพเจ้าตอบคุณป้าไปอีกว่า "ส่วนตัวผมไม่มีพ่อแม่และน้องสาวมาเยี่ยมผมเลย พ่อแม่ผมได้ตายและเสียชีวิตไปนานแล้ว" คุณป้าได้ยินที่ข้าพเจ้าพูดคุณป้าเลยร้องไห้และพูดออกมาว่า " ถ้าหนูออกไปแล้วก็ขอให้หนูโชคดี ถ้ามีโอกาสก็กลับมาเยี่ยมป้าอีกนะ" ข้าพเจ้าก็เลยบอกกับคุณป้าไปว่า " สิ่งที่ผมได้ทำบุญทำกุศลมาผมขอบุญกุศลนี้ให้ลูกของป้าหายวันหายคืนและกลับมาเป็นลูกชายคนเดิมของป้า" คุณป้าก็ได้มาจับมือของข้าพเจ้าและพูดกับข้าพเจ้าว่า "ไม่เคยมีใครมาพูดกับป้าอย่างนี้เลย" ข้าพเจ้าก็เลยบอกกับคุณป้าไปว่า "ถ้าคุณป้ามีโอกาสคุณป้าไปหาผมได้นะครับ ผมอยู่บนเขาภูพานคำ หนองบัวลำภู" ข้าพเจ้าก็เลยบอกกับคุณป้าว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเป็นผู้ถือศีลห้าซึ่งก็เหมือนได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้อยู่แล้ว
            หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ข้าพเจ้าได้เห็นมุมมองชีวิตอีกหลายๆด้าน ได้ปัฌชญาชีวิต ได้รับความรู้สึกของชีวิตที่เฉียดตาย ถามว่าทุกคนกลัวตายไหม ทุกคนกลัวตายกันทุกคน ถามว่าทุกคนกลัวการเจ็บป่วยไหม ทุกคนกลัวการเจ็บป่วยกันทุกคน ฉะนั้นทุกคนจึงไม่อยากเข้าใกล้กับสิ่งเหล่านี้นัก


            
        สุดท้ายนี้ข้าพเจ้า ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดทั้งหลายในสากลโลกใบนี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และคุณพระสยามเทวาธิราช พระแก้วมรกต ขออำนวยอวยพรให้ทุกคนทุกๆท่านห่างไกลจากความเจ็บความปวดความทุกข์ทรมาน และขอให้ลูกชายของคุณป้าคนนั้นหายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยเร็ว และรวมถึงผู้ที่ยังนอนเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานอยู่ในเมืองไทยหรืออยู่ในโรงยาบาลต่างๆให้ได้รับพรนี้กันทุกๆคน ทุกท่านเทอญ 

            ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนตระหนักถึง ความตาย  มะ นะ ตา  โย ความตายเกิดขึ้นได้เสมอๆ เมื่อเราประมาท และข้าพเจ้าขอให้ทุกๆคนที่ได้เข้ามาอ่านบันทึกฉบับนี้ ให้มีความคิด มีสติ มีความไม่ประมาทจากการใช้ชีวิตและขอให้มีสิ่งเหล่านี้ในการดำรงชีพอยู่เป็นสุขทุกเมื่อเทอญ สาธุ  ข้าพเจ้ามีนามว่า  นิลกาล






13 มิถุนายน 2554

** มุมมองความรู้สึกธรรมะของข้าพเจ้าที่ได้พึ่งปฏิบัติธรรมมา **

  
           ข้าพเจ้าได้เดินทางกลับมาถึงเมืองไทย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2554  ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่ภูเขาควาย พระบาทแอลขันต์ ประเทศลาว ข้าพเจ้าได้ไปสักการะรอยพระบาทแอลขันต์ และข้าพเจ้าได้เดินทางขึ้นไปบนเขา ซึ่งมีระยะทางประมาณ 4-5 กิโลเมตร ทั้งสองข้างทางของถนนจะเต็มไปด้วยป่ารกทึบและหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยมากมายจะผ่านเมือง "บางบด" และ ผ่าน ถ้ำฤาษี และเดินขึ้นไปอีกนิดก็จะเจอกับ เมืองยักษ์ และ 

   

     


         สุดท้ายที่สุดก็คือ ดินแดนแห่งธรรมะ ที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐ์ฐานอยู่ที่ยอดเขา ข้าพเจ้าเดินทางต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเศษข้าพเจ้าก็จะได้รับรู้ถึงความรู้สึกภายในจิตใจของข้าพเจ้าว่า หายเหนื่อย เมื่อได้เห็นดินแดนที่สงบเงียบพึ่งแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่งข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าดินแดนแห่งนี้ เหมือนข้าพเจ้าได้เคยมาอยู่ ณ.ที่แห่งนี้แต่ก็ไม่ได้มีเครื่องหมายใดๆมายืนยันได้ว่าข้าพเจ้าได้เคยมาอยู่ ณ.ที่ดินแดนแห่งนี้ แต่ข้าพเจ้าก็รู้ได้ว่าตอนนี้ข้าพเจ้าได้มาถึงตรงที่ ที่ข้าพเจ้าพึ่งปฏิบัติธรรมแล้วข้าพเจ้าก็เลยเดินลัดเลาะป่า ที่เป็นโขดหินและเป็นลำธาร ขึ้นไปเพื่อหาที่นั่งสมาธิ ซึ่งอยู่ในโขดหิน จนข้าพเจ้าได้พบกับที่ๆหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นที่ๆสมควรและเหมาะสมในการนั่งสมาธิเพื่อปฏิบัติธรรม ณ.ที่แห่งนี้ ข้าพเจ้าได้ตั้งจิตอษิฐานว่า ข้าพเจ้าขอนึกถึง คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดา คุณมารดา คุณครูอุปัชฌาอาจาร์ยและข้าพเจ้าก็ได้สวดมนต์อยู่ณ.ที่บนเขานั้นเพียงลำพังคนเดียว  หลังจากที่ข้าพเจ้าสวดมนต์เสร็จแล้วข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิต่ออีก 1 ชั่วโมงเศษ แต่การนั่งสมาธิของข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่าข้าพเจ้าไม่เจ็บไม่ปวดเลย เพราะว่าพื้นที่ข้าพเจ้านั่งนั้นเป็นโขดหินไม่มีความรู้สึกที่จะทำให้ตัวเองเจ็บปวดหรือย่อท้อที่จะอยู่ในสมาธินั้นเลย  ข้าพเจ้าได้เกิดความคิดว่า คำว่าว่างเปล่า คำว่าไม่มีตัวตน ไม่รู้เจ็บ ไม่รู้ปวด ไม่รู้จักคำว่าท้อแท้ อยู่ในสมาธินั้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าตัวเองทำไมถึงมาพบกับความสุขที่สุดในการนั่งสมาธิครั้งนี้

         
       หลังจากนั้น ข้าพเจ้าได้ออกจากสมาธิ ลูกศิษย์ที่ตามข้าพเจ้าไปก็ยังเดินขึ้นมาไม่ถึง ข้าพเจ้าเลยเดินลัดเลาะป่าต่อเข้าไปลึกกว่านั้นอีกข้าพเจ้าได้ยินเสียงนกร้อง ได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ไหว และข้าพเจ้าได้ไปเห็นโขดหินอีกโขดหินหนึ่งที่สวยมาก ข้าพเจ้าเลยได้ไปนั่งพักผ่อนยังโขดหินแห่งนั้น ข้าพเจ้าปล่อยตัวตามสบาย ผ่อนคราย และไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก และก็ไม่ได้คิดว่าจะมีสิ่งใดที่จะมาทำร้ายตัวของข้าพเจ้าณ. ที่กลางป่าแห่งนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจคำว่า 


  
       "ธรรมชาติให้อะไรกับผู้ถือศีล" คือธรรมชาติให้ความเงียบ ความสงบ และสมาธิการคิด เพราะว่า ความคิดเราอยู่ในกลางป่า เราจะนึกถึง และคิดถึงสิ่งที่ไม่มีพรมแดนไม่มีเขตมาขวางกันได้เลยก็คือ ธรรมะธาตุ คำว่า ธรรมะธาตุ คือธาตุ ขันต์ อินทรีย์ คือเราหล่อหลอม ให้เป็นหนึ่งเดียว ก็จะมีความสุข ข้าพเจ้ามีความสุขเมื่อข้าพเจ้าเห็นใบไม้ที่เป็นสีเขียวปลิวไปเวลาโดนลมพัด มันจะลู่ลมไปคนละทิศคนละทางกันแต่ลำต้นนั้นก็ไม่ได้ไปกับสายลมนั้นเลย  เปรียบเหมือนชีวิตข้าพเจ้าถ้าไม่เจอธรรมชาติ ก็ไม่ได้เจอหัวใจของข้าพเจ้าเองว่าต้องการสิ่งใด ข้าพเจ้ายังมีความรู้สึกว่า  เกิดเป็นคนหาดีที่ตรงไหนแต่ทำชั่วไม่ต้องมีเวลาล่ำเวลาหาแต่คนคิดจะทำดีแม้จะคิดก็ยังไม่มีเวลาเลยหาเวลาได้ยากแค้นแต่ก็มีน้ำอดน้ำทนที่จะสู้ ข้าพเจ้าได้ความคิดอะไรหลายๆอย่างเมื่อข้าพเจ้าไปอยุู่ในป่า หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้เดินทางกลับลงมาพร้อมกับลูกศิษย์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้มาเจอครูบาอาจาร์ยที่เป็นพระนักปฏิบัติที่เป็นพระอาจาร์ยอยู่ที่ประเทศไทย และท่านได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่ก็เลยได้นั่งคุยกัน เรื่องธรรมะ พระอาจาร์ยท่านก็มีแง่คิดเรื่องธรรมะที่ดี คำแรกที่พระอาจาร์ยท่านมองเห็นข้าพเจ้า ท่านได้เรียกข้าพเจ้าว่า "ฤาษี" ข้าพเจ้าก็ได้ตอบกลับไปว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่ฤาษีข้าพเจ้าเป็นผู้พึ่งถือศีล 5 เป็นผู้พึ่งปฏิบัติดี"  หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้กราบลาพระอาจาร์ยว่า ข้าพเจ้าจะกลับเมืองไทยวันนี้ ข้าพเจ้าเลยถือโอกาสกราบลาพระอาจาร์ยที่อยู่บนนั้น แล้วข้าพเจ้าก็ได้ลงมากราบลาพระอาจาร์ยที่อยู่ที่พระบาทแอลขันต์ พระอาจาร์ยท่านได้ชวนให้ข้าพเจ้าพักอยู่ต่อแต่ข้าพเจ้าได้ตอบกลับไปว่าข้าพเจ้ามาได้หลายวันแล้วข้าพเจ้าเลยบอกพระอาจาร์ยว่า ถ้าข้าพเจ้ามีโอกาสข้าพเจ้าจะมาปฏิบัติธรรม ณ.ที่แห่งนี้อีก แล้วหลวงปู่ท่านก็เลยยิ้มๆให้แล้วท่านก็พูดขึ้นมาว่า"เราคงจะได้เจอกันอีกแน่นอน"

          
         หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ได้กราบลาท่านเพื่อเดินทางกลับเมืองไทย ลูกศิษย์ของข้าพเจ้าได้ขับรถมาส่งข้าพเจ้าที่ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่หนองคาย เมื่อรถที่ข้าพเจ้านั่งวิ่งมาถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แล้วข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าไม่อยากกลับมาเมืองไทยเลย เมื่อรถวิ่งมาถึงครึ่งกลางสะพาน ตอนนั้นข้าพเจ้าได้เหลียวหลังกลับไปมองยังฝั่งเมืองลาว และพูดขึ้นในใจว่า "สักวันหนึ่งฉันจะได้กลับมาอยู่ณ.ที่แห่งนี้อีกอย่างแน่นอน" แต่ความรู้สึกเหล่านั้นได้สอนให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า  "ความดีอยู่ตรงไหน" ความดีอยู่กับตัวเราเอง ศีลธรรมก็อยู่กับตัวเราเอง เราอยากเป็นคนดี เราก็ทำดีไม่ให้ผู้อื่นเดือนร้อน และศีลธรรมก็คือเราไม่ได้ทำผิดศีลข้อใดๆ ไม่ได้ไปกินเหล้า ไม่ได้ไปทำผิดกฏหมาย ไปทำสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เขาหวงห้าม สิ่งที่ผิดศีลธรรม    มะ นะ ยะ โต ตัง 
           สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขออำนวยอวยพรให้กับทุกๆท่าน ที่ได้เข้ามาอ่าน มุมมองและความรู้สึกของข้าพเจ้าให้ได้มีแต่ความสุขและความเจริญทุกๆท่านเทอญ ข้าพเจ้ามีนามว่า เทพนิลกาล





** มุมมองชีวิตของข้าพเจ้าในการเดินทางมาเยือนประเทศลาว **

                                 
                                                                  
             ตอนนี้ข้าพเจ้าอยู่ที่ เมืองลาว หรือประเทศลาว ข้าพเจ้าเดินทางมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2554  ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ข้าพเจ้าเคยมาอยู่ที่นี่ และที่นี่เหมือนเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความรู้สึกผูกพันอยู่ ณ.ที่ประเทศแห่งนี้มาก ผู้คนที่นี่มีแต่รอยยิ้ม มีแต่เสียงหัวเราะ มีแต่ คำว่า "จริงใจ" มอบให้กับข้าพเจ้า เหมือนวันนี้ (1 มิ.ย. 54 ) ที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ไปทำบุญ ที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ ข้าพเจ้าพักอาศัยอยู่ ตอนนี้้ข้าพเจ้าพักอยู่ที่ บ้านไห่ ท่าง่อน เส้นทางเดียวกับที่จะเดินทางไปยัง "ภูเขาควาย" จากตรงที่ข้าพเจ้าพักอยู่นี้ห่างจากภูเขาควาย ไปประมาณ 30 กิโลเมตร เท่านั้น วันนี้เป็นวันพระ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปสวดมนต์ไหว้พระที่ วัดบ้านไห่ ซึ่งอยู่ติดกับสะพาน ข้าพเจ้ามีความรู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสกลับมาเยือนที่ประเทศลาวอีกครั้งหนึ่ง หลายสิ่งหลายอย่างที่นี่ ทำให้ข้าพเจ้ามีความประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย  เรียกว่า อยู่ง่าย กินง่าย แต่เมื่อใดก็ตามที่ถึงกำหนดการที่ข้าพเจ้าจะต้องเดินทางกลับเมืองไทย ข้าพเจ้ากลับมีความรู้สึกที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่า ข้าพเจ้าไม่อยากกลับเลย เพราะที่นี่ให้ความรู้สึกว่า  อบอุ่น เสมอ และทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ช่วยหล่อหลอมให้ข้าพเจ้ารู้จักกับความเข้มแข็งและอดทน  และที่นี่เปรียบเสมือนเป็นบ้านเกิดหลังที่สองของข้าพเจ้า ทุกๆคำพูด ที่พูดว่า " สบายดีเจ้า " ทุกๆรอยยิ้ม ของคนเมืองลาว ทำให้ข้าพเจ้ามีคำว่า รัก และ เมตตา และคำว่า ผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือเป็นผู้ใหญ่ หรือคนแก่ ก็เข้ามาพูดคุยกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความรู้สึกดีที่ข้าพเจ้าได้คุยเรื่องธรรมะกับผู้อื่น

                                            

            ถึงแม้ข้าพเจ้าจะมีความสุขในการปฏิบัติธรรม แต่ข้าพเจ้าก็มีความทุกข์อยู่ในใจ เหมือนกัน มีคำว่า  " พลัดพราก" คำว่า " เสียใจ " คำว่า "ดีใจ" ข้าพเจ้าก็มีคำเหล่านี้เหมือนกับคนอื่นๆ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า คำว่า " ดี " ของคนอื่นๆ นั้น มีความหมายแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้ คือข้าพเจ้ารู้จักคำว่า เรียนรู้ทำแต่กรรมดี เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ถึงแม้ตัวข้าพเจ้าจะรู้สึกเหนื่อย สักเพียงใด แต่ข้าพเจ้าก็จะมีแต่คำว่า " ให้ " แก่ผู้อื่นเสมอ เสมอ เหมือนดังเช่นในวันนี้ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสตั้งชื่อให้กับ เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อว่า " มาตา "  ชื่อเล่นว่า " หนามเตย " ซึ่งเป็นลูกของลูกศิษย์ของข้าพเจ้าเอง



น้องมาตา หรือ หนามเตย
             ข้าพเจ้าได้เห็นมนุษย์ ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนแก่ และได้เห็นแม้กระทั่งความตาย แต่มนุษย์ ได้เห็น บาป หรือ กรรม เหมือนที่ข้าพเจ้าได้เห็นไหมหนอ คนเราเกิดมา มีบาป มีกรรม กันทุกคน แต่คนเราหนีความตาย ไม่พ้น แต่หนีความทุกข์ยากลำบากได้ ถ้าเราขยันและหมั่นเพียร รู้จักกิน รู้จักเก็บ รู้จักใช้ พอมี พออยู่ พอกิน ให้รู้จักทำบุญทำกุศลบ้าง ให้รู้จักแบ่งปันให้กับผู้อื่นที่ด้อยกว่าเรา ก็ถือว่าทำบุญทำกุศลแล้ว ส่วนตัวข้าพเจ้าเองไม่เคยคิดว่าทุกๆคนว่าจะเป็นเหมือนข้าพเจ้า แต่ให้รู้จักทำดี สักครั้งก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว  มะ ยะ นะ โต
                                  

           ในบางครั้ง ข้าพเจ้าก็นั่งถอดถอนลมหายใจ แบบคนที่ท้อแท้ ข้าพเจ้าก็มีความทุกข์เป็นเหมือนคนอื่นๆ ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกคิดถึง มีความรู้สึกห่วงใยทุกๆคน ที่รู้จักข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป แต่ข้าพเจ้าก็เรียนรู้จักใช้ชีวิต และอยากให้ทุกๆคน รู้จักสวดมนต์ภาวานา นั่งสมาธิ ให้รู้จัก รักพ่อและรักแม่ เหมือนกับที่พ่อกับแม่รักเรา แล้วให้รู้จักคิดถึงผู้อื่นก่อนที่ผู้อื่นจะคิดถึงเรา คือให้คิดถึงความดีของเขา สิ่งเหล่านี้จะเป็นความรักที่มีค่ามากที่สุดในโลก ถ้าอยากมีความสุขในชีวิตประจำวันแต่ละวัน ต้องฝึกให้มีรอยยิ้มให้กับผู้อื่นก่อนในแต่ละวัน รอยยิ้มที่เต็มใจจะยิ้มนั้น คือความสุขที่สุดในโลกแล้ว เหมือนผู้อื่นที่มีรอยยิ้มให้ พูดจาดีกับเรา เราก็มีรอยยิ้มตอบกลับและมีคำพูดดีๆ ตอบกลับ ก็ถือว่ามีความสุขในชีวิตประจำวันแล้ว
             ทุกๆ ครั้งที่ข้าพเจ้าได้อยู่คนเดียว หรือ ถึงแม้จะมีผู้คนมาหาข้าพเจ้ามากมาย แต่จิตใจของข้าพเจ้าก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียวเรื่อยไป เพราะไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของข้าพเจ้า ว่าข้าพเจ้าเหนื่อย หรือท้อ หรือเจ็บ หรือปวด หรือโกรธ หรือเกลียด หรือชัง มีเพียงตัวของข้าพเจ้าเองเท่านั้นที่รู้ตัวเองดี เพราะข้าพเจ้าได้เรียนรู้ชีวิตของข้าพเจ้า แต่พวกท่านรู้จักชีวิตจิตใจของตัวเองดีแค่ไหน ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนรู้จักชีวิตจิตใจตัวเอง แล้วพวกท่านจะมี  ความสุขในชีวิตที่สุดในโลก คือ " ถ้าตัวเรารู้จักตัวเราเองดี " สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญในการดำเนินชีวิตต่อไปในวันข้างหน้าอย่างมีสติทุกๆคน เทอญ ข้าพเจ้ามีนามว่า " มหาเทพนิลกาล "







08 มิถุนายน 2554

** ความปรารถนาอันสูงสุดของชีวิตเทพนิลกาล **

       
         ชีวิตของข้าพเจ้าที่ได้พบพานความสุขที่สุดของชีวิตคือ การได้กราบคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดา คุณมารดา คุณครูอุปัฌชาอาจาร์ย ข้าพเจ้ามีความสุข ที่ข้าพเจ้าได้ประพฤิตปฏิบัติ ทำแต่กรรมดีและสิ่งดี สิ่งที่ข้าพเจ้าใฝ่ฝันมากที่สุดของชีวิต คือข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการสำเร็จเป็นอรหันต์ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้บวช แต่ข้าพเจ้าถือศีล แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าใฝ่ฝันสูงสุดก่อนที่จะหมดลมหายใจหรือก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะขาดสะบั่นลงข้าพเจ้า ปรารถนาอยากจะสร้างพระ พระโคดม หรือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ องค์พระศรีอริยะเมตตรัย มาประดิษฐิ์ฐานไว้ ณ.ที่แห่งนี้ ภูพานคำ จ.หนองบัวลำภู เพื่อให้ผู้คนทุกท่านได้ขึ้นมากราบไห้ว สักการะบูชา แม้ในยามที่ลมหายใจสุดท้ายของข้าพเจ้าจะขาดลง แต่ความดีความงามในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำไว้จะคงอยู่ ณ.ที่แห่งนี้ต่อไป
         

           สิ่งที่ข้าพเจ้าจะสร้างไม่ใช่เป็นสิ่งของของผู้ใด แม้กระทั่งตัวของข้าพเจ้าเองและครอบครัวของข้าพเจ้าเองก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิจะครอบครอง ณ.ที่แห่งนี้  ที่ซึ่งข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมนี้ มีที่ดินอยู่จำนวน 14 ไร่ และเมื่อใดที่ข้าพเจ้าได้เสียชีวิตลงไปแล้วนั้น ที่ตรงนี้ ข้าพเจ้าจะถวายให้เป็นที่พักสำนักสงฆ์ หรือที่ปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าจะไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดมีสิทธิครอบครอง แม้กระทั่งครอบครัวของข้าพเจ้าหรือแม้กระทั่งน้องสาวของข้าพเจ้า หรือหลานของข้าพเจ้าก็ตาม
          ข้าพเจ้าเกิดมาชาตินี้ได้เป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้มาพบพานกับศาสนาและศีลธรรมในช่วงที่ข้าพเจ้ามีอายุไดแค่ 20 กว่าๆ ตอนนี้ข้าพเจ้าถือว่าข้าพเจ้ามาพบพานศีลธรรมและธรรมะ ในช่วงที่สั้นมาก ในช่วงอายุขัยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่มี บิดา มารดา ให้ท่านได้คอยดูความสำเร็จของข้าพเจ้า บิดา มารดา ของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตไปนานแล้ว ท่านไม่ได้เห็นความสำเร็จในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำในวันนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกผิด อยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าเสมอ เพราะว่าเดิมทีข้าพเจ้าก็ไม่ได้เป็นคนดีมาก่อน ชีวิตของข้าพเจ้าไม่เคยมีความแน่นอนมาก่อน เมื่อข้าพเจ้ามาพบพานศีลธรรม ชีวิตของข้าพเจ้ามีความแน่นอนมีจุดยืนของชีวิต มีความดี มีความงามเกิดขึ้นมากมายในชีวิต ข้าพเจ้าไม่เคยคิดที่จะเข้ามากอบโกยเงินทองหรือมาแสวงหาผลประโยชน์เหมือนคนอื่นๆทั่วไป ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงของมนุษย์  คือ การให้ที่มิได้เรียกร้องเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งตอบแทน ข้าพเจ้าเรียนรู้การให้ผู้อื่นแล้วข้าพเจ้ามีความสุขกับการให้นี้


          ข้าพเจ้ามีนามว่า  เทพนิลกาล  ขอให้ทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่านบันทึกบทนี้ ขอให้ท่านมากไปด้วยปัญญา มากไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง และมากไปด้วยความสุข และความดีงาม ทุกๆท่านเทอญ