หน้าเว็บ

13 มิถุนายน 2554

** มุมมองความรู้สึกธรรมะของข้าพเจ้าที่ได้พึ่งปฏิบัติธรรมมา **

  
           ข้าพเจ้าได้เดินทางกลับมาถึงเมืองไทย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2554  ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่ภูเขาควาย พระบาทแอลขันต์ ประเทศลาว ข้าพเจ้าได้ไปสักการะรอยพระบาทแอลขันต์ และข้าพเจ้าได้เดินทางขึ้นไปบนเขา ซึ่งมีระยะทางประมาณ 4-5 กิโลเมตร ทั้งสองข้างทางของถนนจะเต็มไปด้วยป่ารกทึบและหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยมากมายจะผ่านเมือง "บางบด" และ ผ่าน ถ้ำฤาษี และเดินขึ้นไปอีกนิดก็จะเจอกับ เมืองยักษ์ และ 

   

     


         สุดท้ายที่สุดก็คือ ดินแดนแห่งธรรมะ ที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐ์ฐานอยู่ที่ยอดเขา ข้าพเจ้าเดินทางต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเศษข้าพเจ้าก็จะได้รับรู้ถึงความรู้สึกภายในจิตใจของข้าพเจ้าว่า หายเหนื่อย เมื่อได้เห็นดินแดนที่สงบเงียบพึ่งแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่งข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าดินแดนแห่งนี้ เหมือนข้าพเจ้าได้เคยมาอยู่ ณ.ที่แห่งนี้แต่ก็ไม่ได้มีเครื่องหมายใดๆมายืนยันได้ว่าข้าพเจ้าได้เคยมาอยู่ ณ.ที่ดินแดนแห่งนี้ แต่ข้าพเจ้าก็รู้ได้ว่าตอนนี้ข้าพเจ้าได้มาถึงตรงที่ ที่ข้าพเจ้าพึ่งปฏิบัติธรรมแล้วข้าพเจ้าก็เลยเดินลัดเลาะป่า ที่เป็นโขดหินและเป็นลำธาร ขึ้นไปเพื่อหาที่นั่งสมาธิ ซึ่งอยู่ในโขดหิน จนข้าพเจ้าได้พบกับที่ๆหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นที่ๆสมควรและเหมาะสมในการนั่งสมาธิเพื่อปฏิบัติธรรม ณ.ที่แห่งนี้ ข้าพเจ้าได้ตั้งจิตอษิฐานว่า ข้าพเจ้าขอนึกถึง คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดา คุณมารดา คุณครูอุปัชฌาอาจาร์ยและข้าพเจ้าก็ได้สวดมนต์อยู่ณ.ที่บนเขานั้นเพียงลำพังคนเดียว  หลังจากที่ข้าพเจ้าสวดมนต์เสร็จแล้วข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิต่ออีก 1 ชั่วโมงเศษ แต่การนั่งสมาธิของข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่าข้าพเจ้าไม่เจ็บไม่ปวดเลย เพราะว่าพื้นที่ข้าพเจ้านั่งนั้นเป็นโขดหินไม่มีความรู้สึกที่จะทำให้ตัวเองเจ็บปวดหรือย่อท้อที่จะอยู่ในสมาธินั้นเลย  ข้าพเจ้าได้เกิดความคิดว่า คำว่าว่างเปล่า คำว่าไม่มีตัวตน ไม่รู้เจ็บ ไม่รู้ปวด ไม่รู้จักคำว่าท้อแท้ อยู่ในสมาธินั้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าตัวเองทำไมถึงมาพบกับความสุขที่สุดในการนั่งสมาธิครั้งนี้

         
       หลังจากนั้น ข้าพเจ้าได้ออกจากสมาธิ ลูกศิษย์ที่ตามข้าพเจ้าไปก็ยังเดินขึ้นมาไม่ถึง ข้าพเจ้าเลยเดินลัดเลาะป่าต่อเข้าไปลึกกว่านั้นอีกข้าพเจ้าได้ยินเสียงนกร้อง ได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ไหว และข้าพเจ้าได้ไปเห็นโขดหินอีกโขดหินหนึ่งที่สวยมาก ข้าพเจ้าเลยได้ไปนั่งพักผ่อนยังโขดหินแห่งนั้น ข้าพเจ้าปล่อยตัวตามสบาย ผ่อนคราย และไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก และก็ไม่ได้คิดว่าจะมีสิ่งใดที่จะมาทำร้ายตัวของข้าพเจ้าณ. ที่กลางป่าแห่งนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจคำว่า 


  
       "ธรรมชาติให้อะไรกับผู้ถือศีล" คือธรรมชาติให้ความเงียบ ความสงบ และสมาธิการคิด เพราะว่า ความคิดเราอยู่ในกลางป่า เราจะนึกถึง และคิดถึงสิ่งที่ไม่มีพรมแดนไม่มีเขตมาขวางกันได้เลยก็คือ ธรรมะธาตุ คำว่า ธรรมะธาตุ คือธาตุ ขันต์ อินทรีย์ คือเราหล่อหลอม ให้เป็นหนึ่งเดียว ก็จะมีความสุข ข้าพเจ้ามีความสุขเมื่อข้าพเจ้าเห็นใบไม้ที่เป็นสีเขียวปลิวไปเวลาโดนลมพัด มันจะลู่ลมไปคนละทิศคนละทางกันแต่ลำต้นนั้นก็ไม่ได้ไปกับสายลมนั้นเลย  เปรียบเหมือนชีวิตข้าพเจ้าถ้าไม่เจอธรรมชาติ ก็ไม่ได้เจอหัวใจของข้าพเจ้าเองว่าต้องการสิ่งใด ข้าพเจ้ายังมีความรู้สึกว่า  เกิดเป็นคนหาดีที่ตรงไหนแต่ทำชั่วไม่ต้องมีเวลาล่ำเวลาหาแต่คนคิดจะทำดีแม้จะคิดก็ยังไม่มีเวลาเลยหาเวลาได้ยากแค้นแต่ก็มีน้ำอดน้ำทนที่จะสู้ ข้าพเจ้าได้ความคิดอะไรหลายๆอย่างเมื่อข้าพเจ้าไปอยุู่ในป่า หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้เดินทางกลับลงมาพร้อมกับลูกศิษย์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้มาเจอครูบาอาจาร์ยที่เป็นพระนักปฏิบัติที่เป็นพระอาจาร์ยอยู่ที่ประเทศไทย และท่านได้ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่ก็เลยได้นั่งคุยกัน เรื่องธรรมะ พระอาจาร์ยท่านก็มีแง่คิดเรื่องธรรมะที่ดี คำแรกที่พระอาจาร์ยท่านมองเห็นข้าพเจ้า ท่านได้เรียกข้าพเจ้าว่า "ฤาษี" ข้าพเจ้าก็ได้ตอบกลับไปว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่ฤาษีข้าพเจ้าเป็นผู้พึ่งถือศีล 5 เป็นผู้พึ่งปฏิบัติดี"  หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้กราบลาพระอาจาร์ยว่า ข้าพเจ้าจะกลับเมืองไทยวันนี้ ข้าพเจ้าเลยถือโอกาสกราบลาพระอาจาร์ยที่อยู่บนนั้น แล้วข้าพเจ้าก็ได้ลงมากราบลาพระอาจาร์ยที่อยู่ที่พระบาทแอลขันต์ พระอาจาร์ยท่านได้ชวนให้ข้าพเจ้าพักอยู่ต่อแต่ข้าพเจ้าได้ตอบกลับไปว่าข้าพเจ้ามาได้หลายวันแล้วข้าพเจ้าเลยบอกพระอาจาร์ยว่า ถ้าข้าพเจ้ามีโอกาสข้าพเจ้าจะมาปฏิบัติธรรม ณ.ที่แห่งนี้อีก แล้วหลวงปู่ท่านก็เลยยิ้มๆให้แล้วท่านก็พูดขึ้นมาว่า"เราคงจะได้เจอกันอีกแน่นอน"

          
         หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ได้กราบลาท่านเพื่อเดินทางกลับเมืองไทย ลูกศิษย์ของข้าพเจ้าได้ขับรถมาส่งข้าพเจ้าที่ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่หนองคาย เมื่อรถที่ข้าพเจ้านั่งวิ่งมาถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แล้วข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าไม่อยากกลับมาเมืองไทยเลย เมื่อรถวิ่งมาถึงครึ่งกลางสะพาน ตอนนั้นข้าพเจ้าได้เหลียวหลังกลับไปมองยังฝั่งเมืองลาว และพูดขึ้นในใจว่า "สักวันหนึ่งฉันจะได้กลับมาอยู่ณ.ที่แห่งนี้อีกอย่างแน่นอน" แต่ความรู้สึกเหล่านั้นได้สอนให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า  "ความดีอยู่ตรงไหน" ความดีอยู่กับตัวเราเอง ศีลธรรมก็อยู่กับตัวเราเอง เราอยากเป็นคนดี เราก็ทำดีไม่ให้ผู้อื่นเดือนร้อน และศีลธรรมก็คือเราไม่ได้ทำผิดศีลข้อใดๆ ไม่ได้ไปกินเหล้า ไม่ได้ไปทำผิดกฏหมาย ไปทำสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เขาหวงห้าม สิ่งที่ผิดศีลธรรม    มะ นะ ยะ โต ตัง 
           สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขออำนวยอวยพรให้กับทุกๆท่าน ที่ได้เข้ามาอ่าน มุมมองและความรู้สึกของข้าพเจ้าให้ได้มีแต่ความสุขและความเจริญทุกๆท่านเทอญ ข้าพเจ้ามีนามว่า เทพนิลกาล





1 ความคิดเห็น:

Post Comment: