หน้าเว็บ

28 มิถุนายน 2554

**มุมมองการเดินทางที่ใกล้ความตายหรือเฉียดตายมากที่สุดของข้าพเจ้า**



            
    

                         ข้าพเจ้าถือว่าตัวเองเป็นคนโชคดีหรือโชคไม่ดีอย่างไรก็ไม่รู้ ชีวิตของข้าพเจ้าได้รอดตายมาหลายครั้งเพราะการเดินทาง แต่ข้าพเจ้าก็ยังคิดอยู่เสมอว่าข้าพเจ้ายังไม่หมดอายุขัยในตอนนี้ ข้าพเจ้าจึงได้เรียนรู้จักคำว่า เฉียดตาย  หรือ  เกือบตาย  ชีวิตของข้าพเจ้าเกิดปาฏิหาริย์บ่อยมาก ข้าพเจ้ารู้ว่าตอนที่ข้าพเจ้าเกือบเดินเจอความตายนั้นข้าพเจ้ามิได้สะพรึ่งกลัวเลย ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่า เมื่อถึงเวลาข้าพเจ้าก็ต้องตาย ถามว่าข้าพเจ้ากลัวหรือไม่เมื่อความตายมาเยือน ข้าพเจ้าไม่กลัว ถ้าเรามีสติ และมีความระมัดระวังอยู่เสมอเราก็จะไม่เกิดอุบัติเหุต อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพียงช่วงวินาทีเดียวก็สามารถทำให้เราพบเจอกับความตายได้เช่นกัน ดังเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังเป็นอุทาหรณ์ ว่าทุกคนอย่าประมาณเลิ่นเลอกับชีวิต ข้าพเจ้ารอดชีวิตมาได้ไม่ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ แต่ข้าพเจ้าพึ่งระลึกอยู่เสมอว่ายังไม่ถึงคราวตายของข้าพเจ้า  ชีวิตที่เรียกว่าเข้าใกล้ความตายในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.00 นาฬิกา เศษของคืนวันที่ 14 มิถุนายน 2554  บนถนนสายอุดร-หนองคาย เขตบ้านนาข่า  จังหวัดอุดรธานี  ข้าพเจ้าประสบอุบัติเหตุโดยรถยนต์ที่ข้าพเจ้านั่งมาเกิดเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบ เนื่องจากรถยนต์ได้หักหลบรถสามล้อเครื่องที่บรรทุกนักเรียนชั้นประถมมาด้วยประมาณ 3 - 4 คน เพื่อจะกลับรถและรถสามล้อเครื่องคันนั้นได้ขับรถตัดหน้ารถ คันที่ข้าพเจ้านั่งมาอย่างกระชั้นชิด ทำให้รถคันที่ข้าพเจ้านั่งมาด้วยได้หักหลบรถสามล้อเครื่องและเกิดเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบและตกลงไปหยุดนิ่งอยู่บนเกาะกลางถนน  รถคันที่ข้าพเจ้านั่งยังได้ไปชนปะทะกับต้นไม้ทำให้ต้นไม้หักขาดไปหนึ่งต้น ถ้ารถคันที่ข้าพเจ้านั่งมาไม่ได้หักหลบรถสามล้อเครื่องคันดังกล่าว ข้าพเจ้าคิดว่าจะต้องมีคนตายและคนได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่านั้นอีก หลังจากที่รถหยุดนิ่งแล้วข้าพเจ้าก็ยังมีสติอยู่ ข้าพเจ้าก็รีบคลานออกมาจากตัวรถ และข้าพเจ้าได้ยืนมองดูสถาพของรถอยู่ประมาณ 3 นาที ก็นั่งลงในตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกแน่นหน้าอกตัวเองมาก รถที่วิ่งผ่านสัญจรไปมาก็ได้ชลอรถเพื่อมองดูรถคันที่ข้าพเจ้านั่งมา บางคนมองดูแล้วก็ขับรถเลยไป บางคนก็มีน้ำใจช่วยโทรศัพท์แจ้งศูนย์อุบัติเหตุ เพื่อเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวข้าพเจ้า เพื่อที่จะนำตัวของข้าพเจ้าส่งโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เมื่อข้าพเจ้าไปถึงโรงพยาบาล หมอก็ได้นำตัวข้าพเจ้าไปยังห้องตรวจเอ็กเซอร์เรย์ คุณหมอและพยาบาลก็ได้เข้ามาสอบถามข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บและปวดตรงไหนของร่างกายมากที่สุด ข้าพเจ้าเลยบอกว่าข้าพเจ้ารู้สึกเจ็บที่หน้าอกด้านซ้ายมากที่สุด เพราะว่า ข้าพเจ้า ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ตอนที่รถเกิดเสียหลักและพลิกคว่ำนั้น รถได้เหวี่ยงตัวข้าพเจ้าไปกระแทกกับพวงมาลัยของรถอย่างแรง  หมอก็ทึ่งกับตัวของข้าพเจ้ามากว่าทำไมตัวของข้าพเจ้าจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย ถ้ามองดูจากสภาพของรถแล้ว มีแต่คนคิดว่าต้องเสียชีวิตแน่ๆ หมอได้ให้ข้าพเจ้านอนพักรักษาตัวเพื่อดูอาการ 1 คืน หมอได้ให้น้ำเกลือหนึ่งขวดและได้ฉีดยาให้กับข้าพเจ้าหนึ่งเข็ม หลังจากนั้นหมอก็ได้ย้ายตัวข้าพเจ้าไปอยู่ในห้องพักผู้ป่วยรวม เพราะคืนนั้นห้องพักผู้ป่วยแบบพิเศษเต็ม  ข้าพเจ้าจึงได้อยู่ห้องรวมกับผู้ป่วยอื่นๆ และข้าพเจ้าได้เห็นเพื่อนผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บเหมือนกับตัวข้าพเจ้า บางคนก็เมาแล้วขับ บางคนก็ได้รับบาดเจ็บอย่างอื่นมา บางคนก็นอนร้องครวลครางด้วยความเจ็บปวด บางคนก็มีคราบน้ำตา บางคนก็กำลังเช็ดตัวให้กับลูกที่ไม่สบาย บางคนก็มีน้ำตาไหลอยู่เรื่อยๆเพราะเห็นความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของลูกตัวเอง



 



                         
    


                         ข้าพเจ้ามองดูแล้วได้กลับมาคิดถึงเรื่องของตัวข้าพเจ้าเอง
 ว่าข้าพเจ้ารอดชีวิตมาได้อย่างไร ข้าพเจ้าไม่เคยพูดว่าข้าพเจ้าอยู่ยงคงกระพันหรือหนังเหนียว หรือมีของดี แต่ข้าพเจ้ายืนยันว่าข้าพเจ้ายังไม่ถึงที่ตาย ข้าพเจ้าเลยรอดตายโดยปาฏิหาร์ย  ตอนที่ข้าพเจ้าอยู่ที่โรงพยาบาลข้าพเจ้าได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง ข้าพเจ้าได้เห็นความรัก ความผูกพัน ความเอื้ออาทร จากหลากหลายผู้คนข้าพเจ้าเลยอยากจะบอกเล่าให้ฟัง  ข้าพเจ้าได้นอนเตียงใกล้ๆกับผู้ป่วยอีกคนหนึ่งที่อยู่ติดกับเตียงของข้าพเจ้า เป็นเด็กหนุ่มผู้ชายเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เหมือนกัน แต่อาการหนักมาก ที่ขามีเหล็กเสียบดามโพล่ออกมาเป็นรูปทรงกลม ข้าพเจ้าเห็นเขาใส่หน้ากากออกซิเจนเพื่อช่วยในการหายใจด้วย และยังมีสายน้ำเกลือและสายอื่นๆระโยงระยางไปตามตัวของเขา แต่เด็กผู้ชายคนนั้นก็ยังนอนไม่ได้สติอยู่เลย  ข้าพเจ้าเลยถามแม่ของเขาว่า"มาอยู่โรงพยาบาลนานหรือยัง" เขาตอบว่ามา"อยู่นานแล้ว" ทั้งพูดและทั้งร้องไห้ไปด้วย ตอนที่เขาพูดกับข้าพเจ้าเขาก็กำลังเอาผ้าเช็ดตัวให้กับลูกชายของเขาอย่างถนุถนอม แสดงออกถึงความรักความห่วงใยอย่างรักใคร่  ข้าพเจ้าจึงหันมามองคนที่มาเยี่ยมข้าพเจ้าซึ่งก็ไม่ใช่มารดาไม่ใช่บิดาและก็ไม่ใช่ญาติพี่น้องของข้าพเจ้าเลยสักคน แต่พวกเขาเหล่านั้นก็มาเยี่ยมข้าพเจ้าด้วยความเต็มใจกันทุกคน ข้าพเจ้ามองแม่ของเด็กคนนั้นที่ใบหน้านั้นยังมีรอยคราบน้ำตาอยู่ คอยเช็ดตัวให้ลูกชายไปและอีกมือหนึ่งก็คอยปาดน้ำตาของตัวเองไปด้วย และแม่เขาได้พูดกับข้าพเจ้าว่า " คุณนี่ยังโชคดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก  ฉันนี่ซิมีลูกชายคนเดียวถ้าฉันเจ็บแทนเขาได้ฉันคงจะเจ็บแทนลูกชายฉันแล้ว"  แล้วแก่ก็บ่นพร่ำๆไปว่า "ไม่รู้เป็นกรรมเป็นเวรอะไรทำไมถึงต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้กับครอบครัวของฉัน"  ข้าพเจ้าเห็นแล้วมีความรู้สึกสงสารมาก แต่ข้าพเจ้าก็ได้แต่สงสารเพราะว่าข้าพเจ้าก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเด็กคนนั้นได้เลย ข้าพเจ้าก็ได้แต่มองดู และข้าพเจ้าก็เห็นคุณป้าท่านนี้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยคอยแต่เช็ดตัวให้ลูกชายของแก่ทั้งคืน 








             
        ข้าพเจ้าเลยได้เห็นถึงความรักความห่วงใยของแก่ที่มีต่อลูกชายแล้วก็สุดจะบรรยายได้  ข้าพเจ้าเห็นความรักของแม่ที่มีต่อลูกและข้าพเจ้าก็เข้าใจคำว่า ความอบอุ่นจากแม่ ว่ามันยิ่งใหญ่เพียงใด ข้าพเจ้ามองดูหน้าตาของแม่ที่อดหลับอดนอนหน้าตาไม่อิ่มเอิบ ไม่เหมือนกับหน้าตาของคนที่อยู่เตียงอีกข้างหนึ่งของข้าพเจ้าที่หน้าตาอิ่มเอิบสดใส เพราะว่ากำลังจะได้กลับบ้านแล้ว ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นรอยยิ้มของคุณป้าท่านนี้เลยข้าพเจ้าเห็นแต่ความทุกข์และน้ำตาที่ไหลออกมาเรื่อยๆ คำว่า "แม่" จะมีไหมที่ลูกคนไหนจะทำให้แม่ได้เหมือนกับแม่คนนี้ ถ้าเรามองในมุมกลับกัน ถ้าแม่เกิดอุบัติเหตุแล้วจะมีลูกคนไหนมาปฏินิบัติให้แม่เหมือนอย่างนี้บ้าง ข้าพเจ้าอยู่ที่โรงพยาบาลเหมือนอยู่ในห้องสมุดชีวิต ที่ได้มองเห็นสิ่งๆต่างๆมากมาย บางคนก็สวดมนต์อยู่ในเตียงของตนเอง บางคนก็นอนแบบหมดหวังกับชีวิต คุณหมอก็ดีคอยพูดให้กำลังใจกับคนไข้ทุกคน ข้าพเจ้าได้มองเห็นความสุขว่า คนเราถ้ารู้จักปลง อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด ความสุขที่ปลงนี้คือ เมื่อมีเกิด ก็ต้องมีดับ ถ้าเรามองย้อนกลับไปว่า ความสุขของคนอยู่ที่ตรงไหน คือ ทุกคนต้องการความสุข ต้องการสุขภาพดีไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียนในชีวิต ก็ถือว่าเป็นความสุขที่สุดแล้ว



                        
         ข้าพเจ้าได้นอนหลับไปจนกระทั่งถึงตอนเช้าเวลาประมาณ 8 โมงเช้าของวันที่ 15 คุณหมอได้เข้ามาตรวจข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่งและได้ดูภาพเอ็กเซอร์เรย์ของข้าพเจ้า แล้วบอกกับข้าพเจ้าว่าคุณไม่เป็นอะไรมากและอนุญาตให้ข้าพเจ้าออกจากโรงพยาบาลได้ในตอนเช้านี้เลย ตอนที่ข้าพเจ้าอยู่ที่โรงพยาบาลมีคนมาเยี่ยมข้าพเจ้าและได้ซื้อของเยี่ยมมาให้ข้าพเจ้ามากมาย ข้าพเจ้าเลยยกของเยี่ยมเหล่านั้นให้กับคุณป้าเตียงข้างๆ คุณป้าเลยบอกกับข้าพเจ้าว่า ซึ่งในตอนนั้นคุณป้าท่านนี้ยังไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ถือศีล  "ทำไมไม่เอากลับไปกินที่บ้านล่ะ" ข้าพเจ้าเลยบอกว่าข้าพเจ้ามีเยอะแล้ว เอาไว้ให้คุณป้ากินเถอะ คุณป้าเลยถามข้าพเจ้ากลับว่า "แล้วทำไมไม่เห็นพ่อกับแม่มาเยี่ยมคุณบ้างเลย" ข้าพเจ้าเลยนิ่งอึ้งอยู่ประมาณ 2-3 นาที เพราะคำพูดนี้ได้กินใจของข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าเลยหันไปบอกคุณป้าว่า  "พ่อกับแม่ของผมได้เสียไปนานแล้วผมอยู่ตัวคนเดียวผมมีน้องสาวอีกหนึ่งคน" คุณป้าเลยถามต่อว่า แล้วทำไมน้องสาวไม่มาเยี่ยมพี่ชาย ข้าพเจ้าเลยบอกว่าข้าพเจ้าไม่ได้โทรไปบอกน้องสาว เพราะข้าพเจ้าไม่อยากให้ใครต่อใครมาเป็นห่วงข้าพเจ้าหรือบอกให้เป็นทุกข์ไปเปล่าๆ คุณป้าเลยบอกกับข้าพเจ้าว่า "คุณพูดเหมือนคนที่ถือศีลเลย" ข้าพเจ้าก็เลยยิ้มๆ และข้าพเจ้าได้บอกคุณป้าว่า  "ลูกชายคุณป้ายังโชคดีกว่าผมอีก"  แก่เลยถามว่าโชคดียังงั้ยในเมื่อลูกชายของแก่ยังนอนเจ็บขนาดนี้ ข้าพเจ้าเลยบอกว่า อย่างน้อยๆลูกชายคุณป้าก็ยังได้เห็นหน้าคุณป้า และยังโชคดีที่มีคุณป้าคอยดูแล แม้จะยังเจ็บป่วยอยู่ ข้าพเจ้าตอบคุณป้าไปอีกว่า "ส่วนตัวผมไม่มีพ่อแม่และน้องสาวมาเยี่ยมผมเลย พ่อแม่ผมได้ตายและเสียชีวิตไปนานแล้ว" คุณป้าได้ยินที่ข้าพเจ้าพูดคุณป้าเลยร้องไห้และพูดออกมาว่า " ถ้าหนูออกไปแล้วก็ขอให้หนูโชคดี ถ้ามีโอกาสก็กลับมาเยี่ยมป้าอีกนะ" ข้าพเจ้าก็เลยบอกกับคุณป้าไปว่า " สิ่งที่ผมได้ทำบุญทำกุศลมาผมขอบุญกุศลนี้ให้ลูกของป้าหายวันหายคืนและกลับมาเป็นลูกชายคนเดิมของป้า" คุณป้าก็ได้มาจับมือของข้าพเจ้าและพูดกับข้าพเจ้าว่า "ไม่เคยมีใครมาพูดกับป้าอย่างนี้เลย" ข้าพเจ้าก็เลยบอกกับคุณป้าไปว่า "ถ้าคุณป้ามีโอกาสคุณป้าไปหาผมได้นะครับ ผมอยู่บนเขาภูพานคำ หนองบัวลำภู" ข้าพเจ้าก็เลยบอกกับคุณป้าว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเป็นผู้ถือศีลห้าซึ่งก็เหมือนได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้อยู่แล้ว
            หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ข้าพเจ้าได้เห็นมุมมองชีวิตอีกหลายๆด้าน ได้ปัฌชญาชีวิต ได้รับความรู้สึกของชีวิตที่เฉียดตาย ถามว่าทุกคนกลัวตายไหม ทุกคนกลัวตายกันทุกคน ถามว่าทุกคนกลัวการเจ็บป่วยไหม ทุกคนกลัวการเจ็บป่วยกันทุกคน ฉะนั้นทุกคนจึงไม่อยากเข้าใกล้กับสิ่งเหล่านี้นัก


            
        สุดท้ายนี้ข้าพเจ้า ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดทั้งหลายในสากลโลกใบนี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และคุณพระสยามเทวาธิราช พระแก้วมรกต ขออำนวยอวยพรให้ทุกคนทุกๆท่านห่างไกลจากความเจ็บความปวดความทุกข์ทรมาน และขอให้ลูกชายของคุณป้าคนนั้นหายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยเร็ว และรวมถึงผู้ที่ยังนอนเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานอยู่ในเมืองไทยหรืออยู่ในโรงยาบาลต่างๆให้ได้รับพรนี้กันทุกๆคน ทุกท่านเทอญ 

            ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนตระหนักถึง ความตาย  มะ นะ ตา  โย ความตายเกิดขึ้นได้เสมอๆ เมื่อเราประมาท และข้าพเจ้าขอให้ทุกๆคนที่ได้เข้ามาอ่านบันทึกฉบับนี้ ให้มีความคิด มีสติ มีความไม่ประมาทจากการใช้ชีวิตและขอให้มีสิ่งเหล่านี้ในการดำรงชีพอยู่เป็นสุขทุกเมื่อเทอญ สาธุ  ข้าพเจ้ามีนามว่า  นิลกาล






1 ความคิดเห็น:

Post Comment: